วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การทำภาพแบบ Sepia



 การทำภาพแบบ Sepia
 
ในบทความนี้เราจะมาเปลี่ยนภาพปกติด ให้กลายเป็นภาพแบบ Sepia กันค่ะ วิธทำก็ไม่ยุ่งยากค่ะ มีขั้นตอนแค่เพียงไม่กี่ขั้นตอนค่ะ ใครสนใจเชิญทางนี้ค่ะ
   
 
ขั้นตอนการทำภาพ Sepia มีดังนี้ค่ะ

ขั้นตอนที่ 1 เริ่มต้นเปิดไฟล์ภาพที่เราต้องการนำมาปรับแต่ง โดยไปที่เมนูบาร์ คลิกที่ File --> Open
 
  
  
   
ขั้นตอนที่ 2 เลือกคำสั่ง Image--> Adjustments --> Desaturate จะได้ผลลัพธ์ดังภาพค่ะ
  
   
ขั้นตอนที่ 3 เลือกคำสั่ง Image--> Adjustments --> Color Balance จะปรากฏไดอะล็อกบ็อก Color Balance ปรากฏขึ้น ให้กำหนดรายละเอียดของค่าต่าง ๆ ตามภาพค่ะ จากนั้นคลิกปุ่ม OK
  
   
ทำเสร็จแล้วค่ะ เพียงแค่นี้ภาพของเราก็จะเปลี่ยนไปเป็นภาพ Sepia แล้วค่ะ ทำได้ง่าย ๆ อย่างที่บอกเลยนะค่ะ
 




วีดิโอตัวอย่าง







การหมุนภาพ (Rotate) และการกลับด้านภาพ (Flip)


การหมุนภาพ (Rotate) และการกลับด้านภาพ (Flip)
บทความนี้จะมาทำการเรียนรู้วิธีการหมุนและกลับด้านภาพกันค่ะ เป็นบทความพื้นฐานที่ทำได้ง่าย ๆ แต่หากไม่ทราบก็จะทำให้การตกแต่งภาพไม่สามารถทำได้อย่างที่ต้องการได้ ดังนั้นเราควรมีความรู้ในเรื่องนี้ไว้ค่ะ
การตกแต่งภาพใน Photoshop ในบางครั้งเราจะต้องทำการหมุนหรือกลับด้านภาพ ซึ่งมีลักษณะการใช้อยู่ 2 แบบคือ

1. การหมุนและกลับด้านแบบทั้งชิ้นงาน
2. การหมุนและกลับด้านภาพเฉพาะเลเยอร์

วิธีการหมุนภาพ
1 การหมุนภาพแบบทั้งชิ้นงาน สามารถทำได้โดยเลือกคำสั่ง Image --> Rotate Canvas แล้วเลือก
180 องศา เพื่อหมุนภาพจากเดิมไป 180 องศา หรือ
90 องศา CW เพื่อหมุนภาพจากเดิมไป 90 องศาในทิศทางตามเข็มนาฬิกา หรือ
90 องศา CCW เพื่อหมุนภาพจากเดิมไป 90 องศาในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา หรือ
Arbritary ... เลือกแบบสามารถกำหนดองศาที่ต้องการหมุนภาพ โดยสามารถเลือกได้ว่าต้องการให้มีทิศทางทวนหรือตามเข็มนาฬิกา

2.การหมุนภาพเฉพาะเลเยอร์ การหมุนภาพเฉพาะเลเยอร์นั้น ให้เราทำการคลิกเลือกเลเยอร์ที่ ต้องการหมุนก่อน จากนั้นสามารถทำได้โดยเลือกใช้คำสั่ง Edit --> Transform จากนั้นเลือก
Rotate 180 องศา เพื่อหมุนภาพจากเดิมไป 180 องศา หรือ
Rotate 90 องศา CW เพื่อหมุนภาพจากเดิมไป 90 องศาในทิศทางตามเข็มนาฬิกา หรือ
Rotate 90 องศา CCW เพื่อหมุนภาพจากเดิมไป 90 องศาในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
ผลลัพธ์การใช้งานทั้งสองรูปแบบจะทำให้ได้เกิดการหมุนภาพเหมือนกัน แต่แตกต่างกันที่คำสั่งการหมุนภาพทั้งชิ้นงาน จะทำให้ภาพในทุก ๆ เลเยอร์หมุนตามคำสั่งที่ใช้ แต่การใช้คำสั่งแบบที่ 2 จะทำให้ภาพในเลเยอร์ที่เลือกไว้เท่านั้นที่เกิดการหมุนตามคำสั่งที่ใช้ โดยภาพในเลเยอร์อื่น ๆ ยังคงมีลักษณะเหมือนเดิม

นอกจากนี้แล้ว เรายังสามารถหมุนภาพได้อิสระโดยไม่จำเป็นต้องทำการกำหนดค่าเป็นองศาได้ แต่วิธีการนี้จะสามารถใช้หมุนภาพเฉพาะในเลเยอร์เท่านั้น โดยใช้คำสั่ง Edit --> Transform --> Rotate ซึ่งจะทำให้ภาพในเลเยอร์ที่เราเลือกไว้ เกิดลักษณะเส้นขอบดังภาพด้านล่าง ซึ่งเราสามารถใช้เมาส์เคลื่อนเข้าไปใกล้ ๆ บริเวณที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมบนเส้นขอบ จะทำให้สัญลักษณ์ของเมาส์เปลี่ยนเป็นเส้นโค้งมีลูกศรทั้งสองข้าง ให้เราคลิกมาค้างไว้ แล้วลากเมาส์จะทำให้ภาพของเราหมุนไปตามทิศทางที่ลากเมาส์

หากเราสังเกตที่รูปเราจะเห็นสัญลักษณ์ที่จุดศูนย์กลางของรูป ซึ่งเจ้าสัญลักษณ์นี้ เป็นตัวกำหนดจุดศูนย์กลางของการหมุนภาพ เราสามารถเลื่อนสัญลักษณ์ของตำแหน่งนี้ไปไว้ที่ตำแหน่งไหนก็ได้ ลองทำดูนะค่ะ ว่าจะแตกต่างจากปกติอย่างไร


การกลับด้านภาพ
เป็นลักษณะการกลับภาพจากซ้ายไปขวา หรือลักษณะการกลับด้านแบบที่มองเห็นในกระจกเงาค่ะ มีด้วยกัน 2 แบบเหมือน ๆ กลับการหมุนภาพ นั้นก็คือ

1. การกลับด้านภาพแบบทั้งชิ้นงาน สามารถทำได้โดยการเลือกคำสั่ง Image --> Rotate Canvas แล้วเลือก
Flip Canvas Horizontal สำหรับกลับด้านภาพในลักษณะแนวนอน หรือ
Flip Canvas Vertical สำหรับกลับด้านภาพในลักษณะแนวตั้ง

2. การกลับด้านภาพเฉพาะเลเยอร์ สามารถทำได้โดยการเลือกเลเยอร์ที่ต้องการกลับด้านภาพ จากนั้นเลือกคำสั่ง Edit --> Transform แล้วเลือก
Flip Horizontal สำหรับกลับด้านภาพในลักษณะแนวนอน หรือ
Flip Vertical สำหรับกลับด้านภาพในลักษณะแนวตั้ง






วีดิโอตัวอย่าง





มาสร้าง pattern สำหรับ Photoshop กันเถอะ



มาสร้าง pattern สำหรับ Photoshop กันเถอะ




ขั้นตอนที่ 1 เริ่มแรกเลย... สร้างชิ้นงานขึ้นมาใหม่ โดยการใช้คำสั่ง File --> New และเลือกลิสต์ของ Background Content เป็นแบบ Transparent เพื่อให้ให้พื้นหลังโปร่งใส โดยกำหนดขนาด 8 x 8 pixels

เมื่อได้พื้นที่ชิ้นงานแล้ว เราจะเห็นว่ามันมีขนาดเล็กมาก ๆ ให้ทำการขยายมุมมองเพิ่มขึ้น โดยการกดปุ่ม Ctrl พร้อมกับเครื่องหมาย + ของ Num Lock ลองกดปุ่มเครื่องหมาย + ย้ำ ๆๆ จนภาพขยายจนสุด
หลังจากนั้น ทำการ Select ให้ได้ดังภาพที่ 1 และเทสีลงไป หรือใครจะใช้วิธี สร้างเลเยอะขึ้นมาใหม่อีก 1 Layer แล้วเทสีลงไปทั้งหมด จากนั้น Select แล้วลบบางส่วนออกก็ได้ ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ตามภาพที่ 1

ขั้นตอนที่ 2 ให้ทำการ Select All ชิ้นงาน แล้วคลิกคำส่ง Edit --> Define pattern ตามภาพที่ 2

ขั้นตอนที่ 3 เป็นขั้นตอนการตั้งชื่อ Pattern เพื่อเก็บ pattern ไว้ใช้ หลังตั้งชื่อแล้ว กด OK ได้เลยค่ะ
แค่นี้ละค่ะ เสร็จขั้นตอนการสร้าง pattern เรียบร้อยแล้วค่ะ

สำหรับการเรียกใช้ pattern ที่เราเคยสร้างและเก็บไว้ ก็ทำได้ง่าย ๆ ค่ะ ลองสร้างชิ้นงานขึ้นมาใหม่นะค่ะ ขนาดเท่าไหร่ เป็นสีอะไรก็ได้ (ขอให้มีสีตัดกับ pattern ที่เราจะใช้นิดนึงค่ะ)


จากนั้นเมื่อได้ชิ้นงานแล้ว ให้ใช้คำสั่ง Edit --> Fill จะมีไดอะล็อกขึ้นมาตามภาพที่ 4 ให้คลิกที่ use เป็น pattern แล้วเราก็จะเจอ pattern ที่เราเคยตั้งชื่อไว้ในขั้นตอนที่ 3 ให้คลิกเลือกที่ชื่อ pattern ที่ต้องการใช้ จากนั้นคลิก OK ผลลัพธ์ก็จะได้ตามภาพค่ะ

สำหรับเทคนิคการใช้งาน pattern ก็คือ การ Fill ภาพ pattern ที่เราเลือก โดยการเอา pattern มาเรียงต่อกันอัตโนมัติ จากรูป pattern ที่เราได้สร้างเราจะเห็นว่ามันมีขนาดเล็กนิดเดียว ถ้าทำมือคงยากและเสียเวลามาก ซึ่งสามารถใช้เทคนิค Fill pattern มาช่วยได้









วีดิโอตัวอย่าง

การ Selection ภาพที่มีลักษณะเป็นขน

การ Selection ภาพที่มีลักษณะเป็นขน


ก่อนอื่น เราก็ใช้ Photoshop เปิดภาพที่เราจะ Select ขึ้นมาก่อนเลยค่ะ Webmaster ขอใช้นายแบบเดิม ๆ คือเจ้าเหมียวที่เราเคยใช้เป็นแบบ ตอนทำบทความเรื่อง "การทำภาพแบบ Sepia" เมื่อได้นายแบบขนฟูมาแล้วก็เริ่มทำกันเลยค่ะ

ขั้นตอนที่ 1 ไปที่เมนูบาร์ เลือกใช้คำสั่ง Filter --> Extract หลังจากนั้นจะมีหน้าต่าง Extract ขึ้นมา จากนั้นให้คลิกเลือกเครื่องมือ Edge Highlighter Tool

จากนั้นให้ลาก Select ไปตามขอบของรูปภาพตามที่ต้องการจะ Select ตามภาพที่ 1 (หากหัวแปรงใหญ่เกินไปให้สังเกตบริเวณ Tool Options ที่อยู่บริเวณฝั่งขวามือ และลดค่า Brush Size ลง)
ขั้นตอนที่ 2 คลิกเลือกเครื่องมือ Fill Tool จากนั้นเทสีลงไป จะได้ลักษณะตามภาพที่ 2
แค่นี้ก็เสร็จแล้วค่ะ ลองกดที่ปุ่ม Preview ดูสิค่ะ ก็จะเห็นลักษณะตามภาพที่ 3 หาก OK แล้วก็กดปุ่ม OK ได้เลยค่ะ
ไม่ยากเลยใช้ไหมละค่ะ พอได้ถึงขั้นนี้แล้ว เราก็สามารถเอาภาพไปใช้งานต่อได้แล้วค่ะ ถึงแม้ว่าจะออกมาไม่เนี้ยบมากนัก ต้องเอามาตกแต่งอีกนิดหน่อย แต่ก็ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าการใช้ Tool Selection ตัวอื่น ๆ ค่ะ 
เป็นไงค่ะ นายแบบขนฟูของ Webmaster ได้เปลี่ยนบรรยากาศแล้ว หนวดอาจหายไปข้างนึง แต่จะหมดปัญหานี้ หากเอาเทคนิคนี้ไปใช้กับนายแบบที่เป็นเจ้าตูบ ... (ซะที่ไหนกันเล่า) ...จริง ๆ แล้วขึ้นอยู่กับรูปต้นฉบับค่ะ และความละเอียดตอนที่ Select ด้วยค่ะ ถ้าใจเย็น Select แบบไม่รีบร้อนอาจจะมีหนวดก็ได้ค่ะ เพื่อน ๆ ลอง Select ดูนะค่ะ ...เจ้าเหมียวอาจมีหนวดค่ะ อิอิ...จบแล้วค่ะ




                                                                                                วีดิโอตัวอย่าง



มากำหนด Brush Tip Shape กัน



มากำหนด Brush Tip Shape กัน
ตอนแรกที่เตรียมบทความนี้ กะจะตั้งชื่อว่าเป็นการทำเส้นแบบ dot ด้วยโปรแกรม Photoshop แต่จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่ลักษณะแบบ dot ซะทีเดียว เอาเป็นว่าเป็น Tip Photoshop แล้วกันนะค่ะ เผื่อว่าใครจะไป App ก็สุดแต่ไอเดียร์ของแต่ละคนนะค่ะ

ในบทความนี้ก็เป็น Tip ง่าย ๆ ค่ะ แต่ก็รู้ไว้ไม่เสียหายค่ะ

เริ่มแรกเลยนะค่ะ ก็ให้เราคลิกที่ Brush Tool นะค่ะ จากนั้นดูที่ Option Bar ด้านบนตรงมุมขวา แล้วคลิกเลือกที่แท็บ Brush ซึ่งส่วนนี้จะเป็น Option ของ Brush
ลำดับต่อมาให้เลือกที่ Brush Tip Shape ซึ่งจะมีการให้เราเลือกรูปแบบหัวแปลง ขนาดหัวแปรง และความห่างของหัวแปลงแต่ละจุด เพื่อนๆ ลองกำหนดดูค่ะ
เมื่อเรากำหนดได้แล้ว เพื่อนลองสร้างชิ้นงานใหม่ และลาก Brush ดูค่ะ ก็จะได้ผลลัพธ์ออกมาค่ะ แล้วลองไปรับ Brush Tip Shape เป็นแบบอื่น ๆ ดูอีกก็ได้ค่ะ แล้วลองมาลากเส้น Brush ก็จะออกมาได้หลายรูปแบบค่ะ ตามผลลัพธ์ของ Webmaster ก็ลองปรับเล่นหลาย ๆ หัวแปลง ก็ได้มาตามนี้ละค่ะ 




วีดิโอตัวอย่าง

ลบริ้วรอย จุดไฝ บนใบหน้าด้วยการใช้ Stamp Tool


ลบริ้วรอย จุดไฝ บนใบหน้าด้วยการใช้ Stamp Tool
บทความนี้เราจะมาใช้ photoshop ลบริ้วรอย จุดไฝ บนใบหน้า โดยการใช้เครื่องมือที่มีชื่อเรียกว่า Stamp ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการตกแต่ง และรีทัชภาพ ใครสนใจก็เข้ามาดูกันได้ที่ Workshop นี้ค่ะ

สำหรับเครื่องมือตัวนี้ นิยมใช้สำหรับการรีทัชภาพ เพื่อลบริ้วรอยต่าง ๆ โดยใช้หลักการทำสำเนาภาพ จากจุดหนึ่งไปยัง อีกจุดหนึ่ง

ลำดับแรกให้เพื่อน ๆ เปิดรูปที่ต้องการจะตกแต่งเข้ามาในโปรแกรม photoshop จากนั้นคลิกที่เครื่องมือที่มีชื่อว่า Clone Stamp Tool ดังภาพที่ 1 ค่ะ



เมื่อเราเลือกที่เครื่องมือ Clone Stamp Tool แล้ว สังเกตบริเวณออฟชั่นบาร์บริเวณด้านบน จากนั้นกำหนดค่า Flow = 40 และทำการกดปุ่ม กดปุ่ม Shift+[ ย้ำ ๆ ซัก 5-6 ที

โดยขั้นตอนนี้ ในส่วนของค่า Flow เราปรับค่าให้น้อยลงเพื่อให้ การ Stamp มีลักษณะเป็นแบบกึงโปร่งใส (มีหลักษณะบางกว่าปกติ) และการ Shift+[ ก็เพื่อให้ขอบรอบ ๆ ของการ Stamp มีลักษณะแบบคล้าย ๆ การทำ feather ซึ่งทำให้ขอบเป็นลักษณะบางลง ทั้งนี้ก็เพื่อให้การรีทัชดูสมจริง

เมื่อปรับค่าต่าง ๆ ได้แล้ว ให้ทำการกดปุ่ม Alt ค้างไว้ พร้อม ๆ กับการคลิกเมาส์ ลงบริเวณใกล้ ๆ กับจุดที่ต้องการจะลบ (เป็นการคัดลอกพื้นผิวที่ดี) จากนั้นปล่อยปุ่ม Alt แล้วคลิกเมาส์ลงบริเวณตำแหน่งของริ้วรอยที่จะลบ (เป็นการวางพื้นผิวที่เราได้คัดลอกไว้ทับลงไป)
การ Stamp นั้นเป็นการคัดลอกแบบสำเนาทั้งชิ้นงาน ดังนั้นหากเราทำการกดปุ่ม Alt แค่ครั้งเดียว แล้วเรากด Stamp ลงไปหนึ่งครั้ง ก็จะเป็นการวางพื้นผิวเท่ากับขนาดหัว Stamp ลงไป แต่ถ้าหากเรายังคงคลิกต่อ ๆ ไปเรื่อย ๆ ก็จะเหมือนกับเราขยาย ๆ บริเวณพื้นทีการ Stamp ต่อไป ซึ่งอาจจะทำให้มีส่วนที่มีพื้นผิวที่ไม่เหมือนกัน Stamp ต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งอาจจะไปลบบริเวณที่ดีอยู่แล้วก็ได้ ดังนั้นเราจึงต้องขยันกดปุ่ม Alt สลับกับการคลิกเมาส์บ่อย ๆ เพื่อให้การคัดลอก และวางตรงกับที่เราต้องการ



อธิบายแล้วอาจจะงง ลองเอาไปทำดูนะค่ะ จะเห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น สำหรับรับบทความนี้ท้ายสุด ก็จะได้ผลลัพธ์ตามภาพที่ 2 ค่ะ

ซึ่งเทคนิคการ Stamp นี้ ก็เป็นเทคนิคที่เราจะต้องใช้บ่อย ๆ ในการตกแต่งภาพในโปรแกรม Photoshop ดังนั้นรู้ไว้รับรองเป็นประโยชน์แน่นอนค่ะ

Tip Photoshop
วิธีการปรับความบางเบาของหัว brush และ Stamp 
คีย์ลัด เพิ่มให้หนาขึ้น กดปุม shift+]
คีย์ลัด ลดให้หนาลง กดปุม shift+[

วิธีการปรับขนาดของหัว brush และ Stamp 
คีย์ลัด เพิ่มให้ขนาดใหญาขึ้น กดปุม ]
คีย์ลัด ลดให้ขนาดเล็กลง กดปุม [




                                            วีดิโอตัวอย่าง







เทคนิคทำภาพแนว LOMO อย่างง่าย ๆ


 เทคนิคทำภาพแนว LOMO อย่างง่าย ๆ
 
ในบทความนี้ Webmaster นำเทคนิค Photoshop เกี่ยวกับการทำภาพ LOMO อย่างง่าย ๆ มาฝากเพื่อน ๆ ทุก ๆ คนค่ะ ลองทำดูค่ะ ไม่ยากค่ะ มีขั้นตอนการทำไม่กี่ขั้นตอนเท่าขั้น
   
  
   
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับภาพแนวโลโมกันก่อนน่ะค่ะ สำหรับเจ้าภาพแนวโลโมนั้น เดิมที่เป็นภาพที่ได้จากการถ่ายภาพด้วยกล้อง LOMO กล่องสันชาติรัสเซีย ซึ่งเมื่อก่อนนี้ออกแบบกล้องชนิดนี้ขึ้นมา เพื่อใช้ในงานหน่ายสายลับ โดย LOMO ย่อมาจาก Leningrad Optical Machinery Organization ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตเลนส์เพื่อใช้ในโครงการอวกาศของกิจการกอง ทัพและผลิตเลนส์ที่ใช้ในกล้องโทรทัศน์ .... อ่านต่อที่นี่
  
   
เริ่มต้นสร้างภาพแนวโลโม

ขั้นตอนที่ 1 เปิดภาพที่คุณต้องการทำภาพแนว LOMO จากตัวอยากต้นฉบับภาพที่จะนำมาใช้ตามรูปที่ 1 จากนั้นให้คุณใช้คำสั่ง Image ---> Adjusments --->Curves ... ปรับค่าให้ได้ตามภาพตำแหน่งที่ 1
  
   
ขั้นตอนที่ 2 ให้ใช้คำสั่ง Image ---> Adjusments --->Color Balance ครั้งแรก ปรับค่าต่าง ๆ ตามภาพตำแหน่งที่ 2 จากนั้นใช้คำสั่ง Color Balance อีกครั้งและปรับค่าต่าง ๆ ตามภาพตำแหน่งที่ 3
  
   
ขั้นตอนที่ 3 ใช้คำสั่ง Layyer ---> New Fill Layer --->Gredient จะปรากฏภาพดังตำแหน่งที่ 4 ให้ทำการปรับค่าต่าง ๆ ให้ได้ตามภาพที่ตำแหน่งที่ 4 จากนั้นให้คลิกที่แถบสี Gredient แล้วปรับค่าต่าง ๆ ตามภาพตำแหน่งที่ 5
  
   
เพียงเท่านี้ก็จะได้ภาพแนว LOMO อย่างง่าย ๆ แล้วค่ะ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ได้ตามภาพสุดท้ายค่ะ ภาพดูจะมีสีสันมากขึ้น ดูดึงดูดสายตาได้ดีกว่าภาพต้นฉบับ สีสันดูแปลกตา... สำหรับบทความนี้ก็จบแต่เพียงเท่านี้







เปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นภาพวาดสีน้ำ

 เปลี่ยนภาพถ่ายให้เป็นภาพวาดสีน้ำ
 
ในบทความนี้เราจะมาใช้เทคนิค Photoshop มาเปลี่ยนภาพธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นภาพแนวศิลป์ แบบภาพวาดสีน้ำ ที่ดูดีไปอีกแบบ วิธีการทำ Workshop นี้ก็ไม่ยุ่งยากมากนัก ใครสนใจก็เข้ามาดูกันเลยค่ะ
   
  
   
เรามาทำ Workshop Photoshop นี้ ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ เริ่มแรกก็เข้าโปรแกรม Photoshop จากนั้นก็เลือกภาพที่เราต้องการเข้ามาค่ะ แล้วมาลงมือทำกันเลย

ขั้นตอนที่ 1 หลังจากนำภาพเข้ามาแล้วให้ ทำการ Duplicate Layer : Background โดยใช้คีย์ลัด กดปุ่ม Ctrl+J จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อ Layer เป็น blur ตามภาพที่ ตำแหน่งที่ 1

จากนั้นให้คลิกที่ Layer : blur และใช้คำสั่ง Filter ---> Blur ---> Smart Blur แล้วกำหนดค่า Radius = 10, Threshold = 30 ซึ่งจะทำให้ได้ภาพตามภาพตำแหน่งที่ 1
  
   
ขั้นตอนที่ 2 ให้ทำการ Duplicate Layer : Background อีกครั้ง จากนั้นกำหนดให้อยู่ข้างบน Layer : blur และให้ตั้งชื่อ Layer ใหม่นี้ว่า Outlines จากนั้นใช้คำสั่ง Filter > Stylize > Glowing Edges แล้วปรับค่า Edge Width = 1, Edge Brightness = 12 และ Smoothness = 15 จะได้ภาพที่มีลักษณะเป็นสีดำ และมีลายเส้นของภาพ

จริง ๆ แล้วในการกำหนดขั้นตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องกำหนดค่าตามนี้ก็ได้ แต่ให้สังเกตค่าที่เราใช้ ว่าเมือใช้แล้วยังมีลายเส้นของภาพอยู่หรือไม่ ซึ่งไม่ต้องเป็นลายเส้นที่หนา หรือชัดเจนมากนัก แต่ขอแค่ให้มีลายเส้นของภาพ
  
   
ขั้นตอนที่ 3 เมื่อได้ภาพลายเส้นสีดำแล้้ว ให้ใช้คำสั่ง Image ---> Adjustments ---> Invert เพื่อทำการกลับสีของภาพให้เป็นตรงกันข้าม จากนั้นให้ใช้คำสั่ง Image ---> Adjustments ---> Desaturate เพื่อทำให้ภาพกลายเป็นสี ขาว ดำ จากนั้นปรับค่าของ Layer : Outlines ให้เป็น Multiply และลดค่าความทึบของภาพ โดยกำหนดค่า Opacity = 80 ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ของขั้นตอนนี้ตามภาพที่ 4
  
   
ขั้นตอนที่ 4 ให้ทำการ Duplicate Layer : blur แล้วตั้งชื่อว่า Painting โดยให้ Layer : Painting อยู่บน Layer : blur จากนั้นให้คลิกที่ Layer : Painting แล้วใช้คำสั่ง Image ---> Adjustments ---> Invert แล้วกำหนดค่าของ Layer ให้เป็น Color Dodge ตามภาพตำแหน่งที่ 4
  
   
ขั้นตอนที่ 5 ให้ทำการเลือก Brush ที่มีหัว Brush ในลักษณะไม่เรียบ ขั้นตอนนี้ให้คลิกเลือก Brush จากบริเวณ Option Bar ด้านบน แล้วคลิกที่บริเวณที่เป็นลูกศร ด้านขวาบน แล้วเลือกเป็น Brush ประเภท Dry Brush และกำหนดค่า Opacity = 10% ตามภาพที่ตำแหน่งที่ 5

ใครที่รู้สึกว่างง ตามไม่ทัน ให้ไปดูวิธีการเลือกหัว Brush และการปรับค่า Brush จากบทความชื่อ การทำข้อความแบบมีเวทมนต์ ซึ่งจะอยู่ในขั้นตอนที่ 6

ถ้าหากไม่มี Brush ประเภท Dry Brush ก็ลองเลือกตัวประเภทอื่น ๆ ก็ได้ค่ะ อย่างประเภท Dry Media Brushes เว็บมาสเตอร์ก็ใช้ประเภทนี้เหมือนกัน

เมื่อเราเลือก Brush และกำหนดค่า Brush เรียบร้อยแล้วให้กำหนดค่าสี foreground เป็น #000000 (สีดำ) จากนั้นใช้ Brush ลากลงบน Layer : Painting ให้ทั่ว (ควรระบายไล่ไปจากมุ่มขวาบน เหมือนเราระบายสีรูป) ในส่วนไหนที่เราจะเน้นเป็นพิเศษ ก็ให้เราระบายซัก 2 -3 รอบ (ระบายให้ทั่ว 1 รอบก่อน แล้วค่อยมาเก็บรายละเอียด เราอาจเลือกใช้ Brush ธรรมดา เส้นเล็ก ๆ เพื่อมาเก็บลายละเอียดเส้นอีกทีก็ได้)

เมื่อระบายจนทั่วแล้ว เราก็จะได้ผลลัพธ์ตามภาพสุดท้าย เป็นไงค่ะ ดูป็นภาพสีน้ำบ้างรึปล่าวค่ะ ลองเอาเทคนิค Work Shop Photoshop นี้ไปใช้ดูนะค่ะ ... บทความนี้ Webmaster ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้






สร้างภาพ Wallpaper อย่างง่าย ๆ


สร้างภาพ Wallpaper อย่างง่าย ๆ
 
  
   
ขั้นตอนแรก ให้เพื่อน ๆ สร้างไฟล์ใหม่ ในโปรแกรมโพโต้ชอปขึ้น มาก่อนเลยค่ะ สำหรับทำ Wallpaper ก็ใช้ขนาด 1024x768 px 72dpi จากนั้นให้กดปุ่ม D บนคีย์บอร์ด ซึ่งเป็นคีย์ลัดในการเปลียนสีเริ่มต้นของ Foreground และ Background ให้เป็นสีดำกับขาว (black and white) จากนั้นให้ใช้คำสั่ง Filter ---> Render ---> Clouds ซึ่งจะได้ผลลัพธ์ขั้นตอนนี้ ดังภาพที่ 1

ขั้นตอนที่ 2 ให้ใช้คำสั่ง Filter ---> Pixelate ---> Mezzotint จากนั้นกำหนดรูปแบบเป็น Short strokes
  
   
ขั้นตอนที่ 3 ใช้คำสั่ง Filter ---> Blur ---> Radial Blur จากนั้นกำหนดค่าต่าง ๆ ตามภาพที่ 3

ขั้นตอนที่ 4 ใช้คำสั่ง Filter ---> Distort ---> Twirl ปรับค่า Angle ให้เป็น 105 ตามภาพที่ 4
  
   
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อเราทำขั้นตอนที่ 4 เสร็จแล้ว เราจะสังเกตได้ว่าภาพที่เราได้นั้น จะเป็นเหมือนลายเส้น เหมือนลมที่มุ่งเข้าสู่ตรงกลาง ในขั้นตอนนี้เราจะทำการคัดลอก Layer โดยให้คลิกที่ Layer จากนั้น ใช้คีย์ลัด ให้กดปุ่ม Ctrl+J ซึ่งจะมี Layer ถูกคัดลอกขึ้น ดังภาพที่ 5 (ขณะนี้เรามี Layer 2 Layer)

เมื่อได้ตามนั้นแล้ว เราจะทำการกลับด้านของภาพ ใน Layer ที่คัดลอกขึ้น โดยให้คลิกที่ Layer ด้านบน จากนั้นใช้คีย์ลัด Ctrl +A เพื่อ Select ภาำพทั้งหมดใน Layer ที่ 2 จากนั้น ตามด้วยคีย์ลัด Ctrl+T เพื่อที่จะกลับด้าน จากนั้น ให้คลิกขวาลงบทภาพ แล้วเลือก Flip Horizontal และกด Enter เพื่อกลับภาพในแนวนอน ตามขั้นตอนในภาพที่ 5

เมื่อกลับภาพได้แล้ว ให้คลิกที่ Layer บน จากนั้นเปลี่ยนค่าลักษณะของ Layer จาก Normal ให้เป็น Lighten ซึ่งจะทำให้ Layer บนโปร่งแสง ทำให้เห็นภาพของ Layer แีรกที่อยู่ด้านล่างด้วย จากนั้นให้ทำการรวม Layer (Merge) โดยคลิกที่ Layer บน จากนั้นใช้คีย์ลัด Ctrl+E จะเห็นได้ว่าหลังใช้คีย์ลัดแล้ว Layer จะเหลือแค่ 1 Layer และได้ผลลัพธ์ของภาพตามภาพในขั้นตอนที่ 6
  
   
ขั้นตอนที่ 6 ให้ใช้ Lasso Tool (กดคีย์ลัด L หรือ คลิกเลือกจาก Tool Box) ลากเป็นวงกลมบริเวณกึ่งกลางของภาพ ซึ่งจะได้ลักษณะตามภาพในขั้นตอนที่ 6 จากนั้นใช้คำสั่ง Select ---> Modify ---> Feather และกำหนกค่า feather radius = 150 px จากนั้น ให้ใช้คำสั่ง Select ---> Inverse เพื่อเลือกพื้นที่ด้านตรงกันข้าม

ขั้นตอนที่ 7 ให้ใช้คำสั่ง Layer ---> New Adjustment Layer ---> Curves ซึ่งจะมีการสร้าง Layer ใหม่ ให้ทำการกด OK จากนั้นจะ้เห็นหน้าต่าง Curves ให้ทำการกำหนดค่าต่าง ๆ ตามภาพที่ 7 จากนั้นกด OK และทำการกดคีย์ลัด Ctrl+E เพื่อรวม Layer ให้เหลือเพียง Layer เดียว
  
   
ขั้นตอนที่ 8 ใช้คำสั่ง Layer ---> New Adjustment Layer ---> Hue/Saturation ซึ่งจะมีการสร้าง Layer ใหม่ ให้ทำการกด OK จากนั้นจะปรากฏหน้าต่าง Hue/Saturation ขึ้น ให้ทำการกำหนดค่าต่าง ๆ ดังภาพ ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนสีของภาพให้เป็นสีฟ้า ในขั้นตอนนี้ เพื่อน ๆ สามารถเปลี่ยนเป็นสีอะไรก็ได้ โดยเลือกปรับในส่วนของ Hue และปรับความจางเข้ม ได้จาก Saturation และสามารถกำหนดค่าความสว่างได้จากการปรับ Lightness

ซึ่งเมื่อทำตามขั้นตอนที่ 8 เสร็จสิ้น เราก็จะได้ผลลัพธ์ ตามภาพสุดท้าย เมื่อถึงขั้นตอนนี้ หากภาพของเพื่อน ๆ ได้ไม่เหมือนในเว็บก็ไม่ต้องแปลกใจค่ะ เพราะในการทำขั้นตอนที 1 และ 2 นั้นเกิดจากการสุ่ม ดังนั้นแต่ละครั้งที่ทำจึงออกมาไม่เหมือนกัน... ตอนนี้เราก็ได้ภาพ Wallpaper สวยอย่างง่าย ๆ แล้วค่ะ นอกจากนี้แล้ว หากเพื่อน ๆ อยากจะทำออกมาในลักษณะอื่น ๆ อืีก ในขั้นตอนที่ 4 ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกเป็น Twirl ก็ได้ค่ะ ลองเลือกแบบอื่น ๆ หรือลองผสม ๆ กันดู ก็ออกมาได้หลายแบบค่ะ แล้วลองไปทำกันดูนะค่ะ


Tip Photoshop
ในการใช้คีย์ลัดของ Photoshop นั้น ต้องเลือกภาษา ให้เป็น ภาษาอังกฤษ จึงจะสามารถใช้คีย์ลัดแต่ละอย่างได้ หากเรากำหนดแป้นปุ่มภาษาเป็นไทยอยู่ แล้วใช้คีย์ลัด จะไม่มีผลใด ๆ เกิดขึ้น





เทคนิคการทำภาพแนว Black and White ในโทนสีต่าง ๆ



 เทคนิคการทำภาพแนว Black and White ในโทนสีต่าง ๆ
 
ในบทความนี้ จะเป็นการเปลียนสีของภาพให้อยู่ในรูปแบบโทนสีแบบ Black and White ซึ่งจะเป็นเทคนิคหนึ่งที่ใช้วิธีการทำโดยกำหนด ค่า Color ของ Curves สำหรับวิธีการทำก็ไม่ยากค่ะ ดูได้ที่บทความนี้ค่ะ
   
  
   
ขั้นตอนที่ 1 เปิดโปรแกรม Photoshop แล้วเปิดภาพที่ต้องการตกแต่ง จากนั้นใช้คำสั่ง Image -->Adjustment --> Desaturate เพื่อทำให้ภาพเป็นภาพแนวขาวดำ
  
   
ขั้นตอนที่ 2 ใช้คำสั่ง Layers --> New Adjustment Layer --> Curves จะมีหน้าต่าง New Layer ปรากฏขึ้นมา ให้ทำการเลือก Mode เป็น Color ตามที่ปรากฏดังภาพที่ 2 จากนั้นกดปุ่ม OK
  
   
ขั้นตอนที่ 3 เมื่อกด OK แล้วจะปรากฏหน้าต่าง Curves ให้ทำการเลือกโทนสีที่ต้องการ จากช่อง Channel จากนั้นปรับค่าเส้น Curves จนได้โทนสีตามความต้องการ จากนั้นคลิกปุ่ม OK
  
   

  
   
ขั้นตอนการทำก็มีเพียงเท่านี้ค่ะ ...เพื่อน ๆ สามารถลองเปลี่ยน Channel เป็นสีอื่น ๆ และปรับค่า Curves ดูนะค่ะ ซึ่งจะได้โทนสีที่แตกต่างกันออกไปหลาย ๆ สีเลยค่ะ (ตามตัวอย่าง) ... Webmaster ขอจบบทความนี้แต่เพียงเท่านี้ค่ะ






 

เปลี่ยนสีสันเปลี่ยนฤดูกาล ด้วย Channel Mixer



 เปลี่ยนสีสันเปลี่ยนฤดูกาล ด้วย Channel Mixer
 
บทความนี้จะเป็น Workshop การใช้โปรแกรม Photoshop ตกแต่งภาพอย่างง่าย ๆ โดยการใช้ Channel Mixer ในการเปลี่ยนสีของภาพ ซึ่งสามารถเปลี่ยนสีได้อย่างรวดเร็ว สำหรับตัวอย่างจะเป็นการเปลี่ยนสีของภาพปกติ ให้เป็นภาพในฤดูใบไม้ร่วง ใครสนใจก็ดูได้ในบทความนี้ค่ะ
   
  
   
ขั้นตอนที่ 1 เปิดโปรแกรม Photoshop แล้วเปิดภาพที่ต้องการตกแต่ง จากนั้นใช้คำสั่ง Image -->Adjustment --> Channel Mixer จะเห็นหน้าต่าง Channel Mixer ตามภาพที่ 2
  
   
ขั้นตอนที่ 2 เลือก Out Channel = Red แล้วปรับค่าสีแดง = +100 ค่าสีเขียว = 200 และค่าสีฟ้า = -200 ตามภาพที่ 2 จากจากนั้นกดปุ่ม OK
  
   
สำหรับการใช้ Channel Mixer นอกจากจะเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนสีภาพที่ทำได้ง่าย ๆ แล้ว จุดดีที่สุดของ Channel Mixer คือมีความหยืดหยุ่นที่สุด และการเปลี่ยนสีด้วย Channel Mixer ภาพจะออกมาดูเนียนที่สุด

สำหรับหลักการใช้ Channel Mixer นั้น จะเป็นการการผสมจำนวนสีจาก Source Channel หนึ่งไปยัง Output Channel ค่ะ อ่านแล้วออกจะงง นิดนึงนะค่ะ เรามาดูตัวอย่าง การใช้ Channel Mixer ในบทความนี้กันเลยค่ะ

เช่น ภาพเดิม สีจริงของรูปภาพ จะประกอบด้วยสี แดง เขียว และน้ำเงิน ตามหลักของสีปฐมภูมิของแสง
 
เมื่อเราใช้ Channel Mixer โดยเลือก Out Channel = Red ค่าต่าง ๆ ที่เราปรับจะหมายความดังนี้

Source Channel
1. Red = 100 %
หมายความว่า ตอนนี้ Red Channel มีจำนวนสี Red Channel อยู่ 100% (เพราะตัวมันเองเป็นสีแดง ดังนั้นสีแดงจึงมี 100% ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราลด Red Channel ให้เป็น 0% สีแดงทั้งหมดก็จะหายไป)

2. Green = +200%
หมายความว่า บริเวณไหนที่เคยเป็นสีเขียว จะถูกทำให้แสดงเป็นสีแดงออกมา (เพราะ Out Channel เป็น Red) เพราะสีทางแสง สีแดง + สีเขียว จะได้เป็นสีเหลือง และเมื่อรวมกันระหว่างข้อ 1 และ 2 คือ Red = 100% + Green = +200% ก็จะได้การผสมสีทางแสดงของ สีแดง + สีเหลือง ซึ่งจะทำได้ได้สีส้ม (Orange)

3. Blue = -200%
หมายความว่า บริเวณไหนที่เคยเป็นสีน้ำเงิน จะถูกทำให้ไม่แสดงสีแดงออกมา (ภาพที่เราเห็นอยู่ แม้จะไม่เห็นสีชัดเจน แต่มันก็เกิดจากสีปฐมภูมิของแสง คือสี แดง เขียว และน้ำเงิน อย่างเช่น สีม่วง เกิดจากการผสมของ แดง + น้ำเงิน ในที่นี้ เมื่อเราเลือกแบบ Out Channel = Red และเมื่อเรากำหนด Blue = -200% นั่นก็จะหมายความว่า สีม่วง ก็จะถูกเอาสีแดงออก สีที่เหลือก็จะแสดงสีเป็นสีน้ำเงิน)

และผลลัพธ์ของ Workshop นี้ก็ออกมาให้เราได้ชมกันตามภาพที่ 3 เป็นไงค่ะ พอจะเป็นภาพของฤดูใบไหม้ร่วง ได้บ้างไหมค่ะ ... ยังไงบทความนี้เว็บมาสเตอร์ของจบก่อนค่ะ อธิบายเหนื่อยเหลือเกิน เขียนไปเขียนมา ตัวเองก็เริ่มเบลอ ๆ แล้วเหมือนกัน ... ถ้าผิดพลาดตรงไหน ติกันเข้ามาได้นะค่ะ
 
  




 

มาตกแต่งรูปให้เป็นแนว Art กันเถอะ



มาตกแต่งรูปให้เป็นแนว Art กันเถอะ



  
   
ขั้นตอนที่ 1 เปิดโปรแกรม Photoshop แล้วเปิดภาพที่ต้องการจะตกแต่งเข้ามาในโปรแกรมเลยค่ะ

จากนั้นให้ทำการ Copy รูปต้นฉบับขึ้นมาอีก 1 Layer ทำได้โดยคลิกขวาที่ Layer Background แล้วเลือก Duplicate Layer หรือใช้คีย์ลัด Ctrl + J

หลังจากได้ Layer ใหม่ขึ้นมา ซึ่งมีชื่อว่า Layer1 เราจะมาเปลี่ยนภาพใน Layer1 ให้เป็นโทนขาวดำ โดยใช้คำสั่ง Image --> Adjustments --> Desaturate หรือใช้คีย์ลัด Ctrl+Shift+U


ขั้นตอนที่ 2 ใช้คำสั่ง Filter --> Other --> High Pass และปรับค่าตามภาพตำแหน่งที่ 2
  
   
ขั้นตอนที่ 3 ใช้คำสั่ง Image --> Adjustments --> Threshold และปรับค่าตามภาพตำแหน่งที่ 3
  
   
ขั้นตอนที่ 4 คลิกที่ Layer1 จากนั้นปรับค่า Opacity ของ Layer1 เป็น 67 % ตามภาพตำแหน่งที่ 4
  
   
ขั้นตอนที่ 5 คลิกที่เลเยอร์ Background จากนั้นคลิกที่ตำแหน่งวงกลมสีแดง (Create new fill or adjustment layer) ตามภาพในตำแหน่งที่ 5 จากนั้นเลือกเป็น Hue/Saturation

เมื่อปรากฏหน้าต่าง Hue/Saturation ขึ้น ให้ทำการกำหนดค่า Saturation และ Lightness ตามภาพตำแหน่งที่ 5
  
   
และแล้วการตกแต่งภาพของบทความนี้ก็เสร็จเรียบร้อยแ้ล้วค่ะ หลังการตกแต่งภาพก็จะได้ผลลัพธ์ ตามภาพสุดท้ายค่ะ แลดูเป็นแนวศิลป์ไหมค่ะ ใครจะเอาไปตกแต่งรูปลง Hi5 ก็ไม่สงวนลิขสิทธ์ึ่้ค่ะ (อิอิ) แล้วลองเอาไปเล่น ๆ ดูนะค่ะ สำหรับบทความนี้จบแต่เพียงเท่านี้ค่ะ เจอกันบทความใหม่ แล้วติดตามอ่านด้วยนะค่ะ




                                                         

ตกแต่งภาพถ่าย ให้กลายเป็นนภาพแนวการ์ตูน


ตกแต่งภาพถ่าย ให้กลายเป็นนภาพแนวการ์ตูน



  
   
ขั้นตอนที่ 1 เปิดโปรแกรม Photoshop แล้วเปิดภาพที่ต้องการจะตกแต่งเข้ามาในโปรแกรมเลยค่ะ (รูปความกว้างประมาณ 500 px.) จากนั้นให้ทำการคัดลอก Layer โดยคลิกขวาที่ Layer Background แล้วเลือก Duplicate Layer หรือใช้คีย์ลัด Ctrl + J (เราจะตกแต่งภาพใน Layer บน เดียวจะได้มาเปรียบเทียบกับภาพ Layer ต้นฉบับ ว่าหลังตกแต่งภาพแล้วจะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง)
  
   
ขั้นตอนที่ 2 คลิกที่ Layer ที่ได้ Copy ขึ้น (Layer ด้านบน) จากนั้นใช้คำสั่ง Filter --> Artistic --> Poster Edges จากนั้นปรับค่าต่าง ๆ ตามภาพที่ 2 (กรณีใช้งานจริงการปรับค่าขึ้นอยู่กับขนาดของภาพที่นำมาตกแต่ง ให้สังเกตรูปที่ไ้ด้จากการปรับค่าต่าง ๆ ปรับให้ออกมาให้พอมีเส้นขอบเด่นขึ้นมา แต่ไม่ต้องปรับจนเลอะมาก)
  
   
ขั้นตอนที่ 3 ใช้คำสั่ง Image --> Adjustments --> Brightness & Contrast จากนั้นปรับค่าความเข้มของสี และความสว่าง ของพื้นผิว ตามภาพที่ 3 (การใช้งานจริง ก็ปรับให้สีดูโอเค ไม่ขาวโพนมากไป หรือเข้มจนเกินไป)
  
   
ขั้นตอนที่ 4 ใช้คำสั่ง Filter --> Artistic --> Cutout แล้วปรับค่าต่าง ๆ ดังภาพที่ 4 (การใช้งานจริง ก็ปรับให้สีดูโอเคที่สุด ให้พื้นผิวของภาพยังคงมีรูปร่างเหมือนจริงไว้ให้มากที่สุด )

แค่นี้จริง ๆ ก็เสร็จแล้วค่ะ แต่ถ้าหากว่ารูปออกมาดูแข็ง และดูมืดเกินไป ก็อาจใช้คำสั่ง Image --> Adjustments --> Curves ช่วยปรับให้สว่างขึ้นได้ ดังตัวอย่างในภาพที่ 5
  
   
สุดท้ายเมื่อเราตกแต่งภาพเสร็จ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะได้รูปตามลักษณะภาพสุดท้ายนะค่ะ ก็ออกมาเป็นรูปการ์ตูน แบบภาพลายเส้น ... นอกจากได้ผลลัพธ์ตามที่เห็นแล้ว เราสามารถนำเอาเทคนิคในบทความนี้โดยเฉพาะคำสั่ง Filter --> Artistic --> Cutout จะช่วยในการแบ่งพื้นผิว ทำให้เกิดการแบ่งสีของภาพในแต่ละบริเวณ เช่น ส่วนเงา ส่วนที่โดนแสง ซึ่งจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าภาพปกติ ทำให้มีประโยชน์ในการดราฟรูป เพราะหากแสงเงาชัดเจนจะช่วยให้ดราฟรูปได้ง่ายขึ้น