วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สถาปัตยกรรมกรีก-โรมัน


สถาปัตยกรรมกรีก 
เมื่อประมาณ 3000 ปีก่อนคริสตศักราช กลุ่มชนรุ่นแรกได้อพยพเข้าสู่คาบสมุทรกรีก สถาปัตยกรรมของกลุ่มชนเหล่านี้มีลักษณะเรียบง่าย ไม่มีอะไรน่าสนใจเมื่อเทียบกับ ชาวกรีกยุคคลาสสิก ... พวกเขาก่อสร้างบ้านเรือนในหลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปทรงกลม รูปทรงไข่ รูปทรงสี่เหลี่ยม วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างมักทำมาจากโคลน โดยปราศจากการใช้ปูนในการก่อสร้าง ภายในบ้านส่วนใหญ่จะมีเพียงแค่ห้องเดียว
 
ชาวกรีกโบราณมีวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่มานานกว่าพันปีในครีต สถาปัตยกรรมมิโนอันมีให้เห็นกันมากในรูปแบบที่อยู่อาศัย พวกเขาไม่นิยมสร้างวัดและสถานที่สาธารณะ ไม่เหมือนกับชนกลุ่มโบราณ ซึ่งในบ้านเรือนของพวกเขานั้นมักจะสร้างให้มีหลายห้องและมีมากกว่า 1 ชั้น การกั้นห้องจะใช้เสาเป็นตัวกั้น ลักษณะภายในบ้านจะค่อนข้างเปิดโล่ง บันไดถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในบ้าน จากนี้ไปจะเป็นสถาปัตยกรรมในช่วงกรีกโบราณ
 
สถาปัตยกรรมกรีกยุคคลาสสิคที่สำคัญ มีแตกต่างกัน 3 ประเภทที่พวกเราคงเคยได้ยินได้เห็นกันมาบ้างแล้วจากตำราเรียนสมัยมัธยม นั่นก็คือ สถาปัตยกรรมแบบ Doric, Ionic, and Corinthian ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบ Corinthian นั้นจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมกว้างขวางเท่ากับสถาปัตยกรรมแบบ Doric, Ionic เพราะว่าสถาปัตยกรรมแบบ Corinthian นั้นมีความสลับซับซ้อนและมีรายละเอียดเยอะมาก
สถาปัตยกรรมแบบ Doric เป็นที่รู้จักเพราะชาวสปาตันนิยมใช้ มันสร้างขึ้นจากด้ามไม้ซึ่งภายหลังกลายเป็นหิน ตอนบนของด้ามไม้จะมีบุที่มีบล็อคไม้ทรงสี่เหลี่ยมอยู่ เสาค้ำขื่อที่เรียกว่า architrave
เสา Ionic จะมีลักษณะเรียวกว่าเสา Doric การสร้างต้องใช้แม่แบบและการตกแต่งโดยการแกะสลักด้วยศิลปะที่พริ้วไหว ส่วนบนสุดของผนังมีรายละเอียดที่สวยงาม
เมื่อพูดถึงวัดกรีก เราจำเป็นต้องรู้ว่าความเชื่อทางศาสนาของชาวกรีกนั้นไม่เหมือนชาวคริสเตียน ประเด็นแรก ชาวกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าของพวกเขามีธรรมชาติที่เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไป เพียงแต่ว่าเทพเจ้าเหล่านั้นจะพิเศษกว่าทางด้านความเฉลียวฉลาดและความแข็งแกร่ง ประเด็นที่สอง ชาวกรีกเชื่อว่าวัด โบสถ์ของพวกเขาคือที่อยู่อาศัยของเทพเจ้าที่พวกเขาศรัทธา ดังนั้นสถานที่เหล่านี้จึงต้องมีความสวยงามกว่าบ้านเรือนทั่วไป ประเด็นต่อมา ชาวกรีกไม่ได้รวมตัวกันเพื่อสรรเสริญพระเจ้าในวัดหรือโบสถ์ของพวกเขา เหมือนอย่างคริสตศาสนนิกชนประเด็นสุดท้าย การบูชายัญและการบวงสรวง ถือเป็นคำสั่งของเทพเจ้า ดังนั้นทุกวัดหรือโบสถ์จะมีแท่นบูชาอยู่บริเวณชานวัดเพื่อจัดพิธีกรรม
 
*****************************************************
สถาปัตยกรรมโรมัน 
สถาปัตยกรรมโรมัน ได้แก่อาคารต่าง ๆ ส่วนมากเป็นรูปทรงพื้นฐานและวัสดุที่ใช้สร้างอาคาร ได้แก่ ไม้ อิฐ ดินเผา หิน ปูน และคอนกรีต ซึ่งชาวโรมันเป็นชาติแรกที่ใช้คอนกรีตอย่างกว้างขวาง และพัฒนารูปแบบออกจากระบบเสาและคาน ไปสู่ระบบโครงสร้างวงโค้ง หลังคาทรงโค้ง หลังคาทรงกลม และหลังคาทรงโค้งกากบาท มีการนำสถาปัตยกรรมที่สำคัญของกรีกทั้ง 3 แบบ มาเปลี่ยนแปลงและ ปรับปรุงให้วิจิตรบรรจงขึ้นชาวกรีกใช้เสาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง แต่ชาวโรมันมักจะเพิ่มการตกแต่งลงไป โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ทางโครงสร้างเท่าไรนัก ลำเสาของกรีกจะเป็นท่อนๆ นำมาวางซ้อนต่อกันขึ้นไป แต่เสาของโรมันจะเป็นเสาหินท่อนเดียวตลอด รูปแบบอนุสาวรีย์ที่พบมากของโรมันคือ ประตูชัย เป็นสิ่งก่อสร้างตั้งอิสระประดับตกแต่งด้วยคำจารึก และรูปนูนบรรยายเหตุการณ์ที่เป็นอนุสรณ์ สถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของโรมัน คือสะพานส่งน้ำ ซึ่งใช้เป็นทางส่งน้ำจากภูเขา มาสู่เมืองต่างๆ ของชาวโรมันเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความก้าวหน้าทางวิศวกรรมของโรมันอย่างเห็นได้ชัดสถาปัตยกรรมโรมันในช่วง พ.ศ.600-873 ได้สะท้อนให้เห็นความมั่งคั่งและ อำนาจของจักรวรรดิโรมันอาคารสถาปัตยกรรมมีขนาดกว้างใหญ่ และมีการตกแต่งอย่างฟุ่มเฟือย มีการควบคุมทำเลที่ตั้ง การจัดภูมิทัศน์อย่างพิถีพิถันมีการ สร้างลานชุมนุมชาวเมืองโรงมหรสพหรือสนามกีฬา โรงอาบน้ำสาธารณะ และ อาคารที่พักอาศัยต่างๆ เป็นจำนวนมาก ภายในอาคารมักประดับด้วยหินอ่อนหินสี และประติมากรรมแกะสลักตกแต่งอย่างสวยงาม
 
*******************************************
ตัวอย่างสถาปัตยกรรมโรมัน
โรมันฟอรัม
โรมันฟอรัมเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างในสมัยโรมันเรืองอำนาจทั้งธุรกิจ  การเมือง  และศาสนา  ตัวหมู่อาคารฟอรัมทั้งหมดใช้เวลาก่อสร้างในช่วงเวลายาวนานถึง 900 ปี  เป็นที่ประกอบศาสนกิจ  ที่ชุมนุมทางการเมืองแต่เมื่อจักรวรรดิโรมันเสื่อมลง  ฯลฯ โรมันฟอรัมก็ถูกทิ้งร้างจนถึงยุคกลางก็กลายเป็นเพียงซากปรักหักพังที่มีหญ้าขึ้นรกเรื้อและมีการนำฝูงสัตว์เข้ามาเลี้ยง ปล่อยให้กินหญ้า  ชิ้นส่วนอิฐและหินอ่อนถูกรื้อนำไปสร้างบ้านเรือน  จนกระทั่งเข้ายุคเรอเนสซองส์ซึ่งผู้คนหันมาให้  ความสนใจกับศิลปินวิทยาการของโรมันกันอีก  โรมันฟอรัมก็ได้กลายเป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้และเป็น แรงบันดาลใจให้กับศิลปินหลายต่อหลายคน  เริ่มมีการขุดค้นทางโบราณคดีและการขุดค้นศึกษาต่าง ๆ ก็ยังคงดำเนินอยู่จนทุกวันนี้
 
น้ำพุเทรวี่ 
น้ำพุเทรวี่ ตรงกลางด้านหน้าเป็นรูปปั้นหินอ่อนของเนปจูน เทพเจ้าแห่งน้ำของชาวโรมันโบราณ ใครมาเมืองนี้ก็ต้องไปโยนเหรียญที่น้ำพุแห่งนี้เพื่อให้ได้กลับมาอีกครั้ง เคล็ดลับในการโยนคือให้หันหลังให้น้ำพุ ถือเหรียญด้วยมือขวา แล้วโยนข้ามไหล่ซ้าย เขาว่ากันว่าถ้าโยนลง 2 ครั้งจะได้แฟนเป็นชาวอิตาลี ใครอยากได้หนุ่มหรือสาวอัซซูรี่เป็นแฟนก็หาโอกาสไปโยนเหรียญที่น้ำพุแห่งนี้ได้
 
โคลอสเซียม 
โคลอสเซียม เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมัน และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิติตัส (Titus) ในศริตส์ศตวรรษที่ 1 หรือประมาณปี ค.ศ. 80 อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน
 
วิหารแพนธีออน 
มหาวิหารแพนธีออน  สิ่งก่อสร้างอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่โดยสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดจากอาณาจักรโรมัน           มหาวิหารแพนธีออนสร้างโดย Marcus Agrippa ซึ่งเป็นลูกเขยของจักรพรรดิ์ Augustus เมื่อ 27 ปีก่อนคริสต์กาล
 
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์
มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในนครรัฐวาติกันสร้างทับวิหารเดิมที่ชื่อเดียวกัน โดมของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์สูงโดดเด่นสามารถเห็นได้แต่ไกลในตัวเมืองโรม วัดนี้ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 2.3 เฮกตาร์ สามารถจุคนได้กว่า 60,000 คน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดที่หนึ่งของคริสตชนนิกายโรมันคาทอริกที่ตั้งวัดเชื่อกันว่าเป็นที่ฝังร่างของนักบุญปีเตอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาวกสิบสององค์ของพระเยซู นักบุญปีเตอร์เดิมเป็นบาทหลวงองค์แรกของอันติโอก ต่อมาก็ได้สถาปนาขึ้นเป็นพระสันตะปาปาองค์แรกของโรมเพราะนิกายโรมันคาทอลิกเชื่อกันว่าร่างของนักบุญปีเตอร์ ถูกฝังไว้ที่นี่ จึงเป็นประเพณีกันต่อมาว่าพระสันตะปาปาหลายองค์ก็ฝังไว้ที่วัดนี้
ตัวมหาวิหารปัจจุบันเริ่มสร้างเมื่อปีวันที่ 18 เมษายน ค.ศ. 1506 บนวัดแบบคอนแสตนติน และเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1626
แต่เดิมนั้นมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์มิได้เป็นสถานที่พำนักประจำตำแหน่งของพระสันตะปาปาเช่นปัจจุบันนี้ (สถานที่ประจำตำแหน่งของสันตะปาปาเดิมอยู่ที่มหาวิหารเซ็นต์จอห์น แลเตอร์รัน) ถึงกระนั้นก็ยังถือกันว่าเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง เพราะวัดนี้ตั้งอยู่ในตัวนครรัฐวาติกันเอง และมีเนื้อที่มาก การทำพิธีต่างๆที่เกี่ยวกับพระสันตะปาปาก็จะมาทำกันที่นี่ นอกจากนั้นก็ยังมีบัลลังก์บิชอปปีเตอร์ (Cathedra Petri) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบัลลังก์ของนักบุญปีเตอร์เองเมื่อดำรงตำแหน่งเป็นสันตะปาปาที่นี่ แต่ปัจจุบันนี้เก้าอี้นี้ไม่ได้ใช้เป็นบัลลังก์บิชอปอึกแล้ว แต่ยังเก็บไว้ไต้ฐานแท่นบูชาที่ออกแบบโดยจานลอร์เรนโซ เบร์นินิ
 
***********************************************
ตัวอย่างสถาปัตยกรรมกรีก
วิหารพาร์เธนอน 
วิหารพาร์เธนอน  คือวิหารโบราณบนเนินอะโครโพลิสในกรุงเอเธนส์ประเทศกรีซ สร้างเพื่อเป็นศาสนสถานบูชาเทพีเอเธนาหรือเทพีแห่งปัญญา ความรอบรู้ ในศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสต์ศักราช เป็นสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรทกรีกโบราณที่มีชื่อเสียงที่สุด แสดงให้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดของสถาปนิกในสมัยนั้นและถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดกว้าง 101.4 ฟุต หรือ 30.9 เมตร และ ยาว 228.0 ฟุต หรือ 69.5 เมตร  คำว่า พาร์เธนอน นั้นน่าจะมาจากประติมากรรมที่เคยตั้งอยู่ภายในวิหาร คือ Athena Parthenos ซึ่งมีความหมายว่า เทพีอันบริสุทธิ์
 
หอเอนเมืองปิซา
หอเอนเมืองปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิซา ในจัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) หอระฆังของศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เป็นหอทรงกระบอก 8 ชั้น สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว สูง 183.3 ฟุต (55.86 เมตร) น้ำหนักรวม 14,500 ตันโดยประมาณ มีบันได 293 ขั้น เอียง 3.97 องศา ยอดของหอห่างจากแนวตั้งฉาก 3.9 เมตร
 






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น